เล่นเกมมือถือแบบไม่เสียสุขภาพจิต: เคล็ดลับง่ายๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้!

webmaster

A person intensely focused on their mobile phone, playing a game with vibrant graphics and rewarding pop-up animations. Dopamine effects are visually represented with glowing particles.  Loot boxes are displayed, tempting the player. Background should show a blurred, neglected real-world environment.

การเล่นเกมมือถือเป็นเรื่องสนุกและผ่อนคลาย แต่ถ้าปล่อยให้มันเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้โดยไม่รู้ตัว ยิ่งในยุคที่เกมมือถือพัฒนาไปไกล มีลูกเล่นที่ดึงดูดใจมากมาย ทำให้เราหลงเข้าไปในโลกเสมือนจริงได้ง่ายขึ้น แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ถึงจะเล่นเกมอย่างมีความสุข ควบคุมตัวเองได้ ไม่ให้เกมมาควบคุมชีวิตเรา?

ปัญหาการติดเกมมือถือไม่ได้เป็นแค่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาระดับสังคมที่ต้องใส่ใจแก้ไขอย่างจริงจัง มาทำความเข้าใจและหาทางออกไปพร้อมๆ กันดีกว่าค่ะสมัยก่อนตอนที่เราเล่นเกมตลับ มันก็สนุกดีนะ แต่พอเล่นนานๆ ก็เบื่อ เพราะเกมมันมีแค่ไม่กี่เกม แถมเล่นจบก็จบ แต่เดี๋ยวนี้เกมมือถือมันต่างออกไปเยอะเลย มีเกมใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา แถมแต่ละเกมก็มีกิจกรรม มีอีเว้นท์ให้ทำไม่หยุดหย่อน เล่นเท่าไหร่ก็ไม่จบไม่สิ้น ยิ่งเล่นก็ยิ่งอยากได้ของ อยากเก่งขึ้นไปอีก เหมือนมีอะไรมาดึงดูดให้เราต้องเล่นอยู่ตลอดเวลา จนบางทีก็ลืมไปว่าชีวิตจริงเรามีอะไรที่สำคัญกว่านั้นอีกเยอะแยะเลยล่ะแล้วอนาคตล่ะ?

เทรนด์เกมมือถือในอนาคตจะยิ่งพัฒนาไปไกลกว่านี้อีกแน่นอน ด้วยเทคโนโลยี VR และ AR ที่ก้าวหน้าขึ้น เกมมือถือจะยิ่งสมจริงและดึงดูดใจมากขึ้นไปอีก ทำให้เราแยกโลกจริงกับโลกเสมือนจริงได้ยากขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้และหาทางป้องกันปัญหาการติดเกมมือถือจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กและเยาวชนต่อไปเราจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุของการติดเกมมือถือ อาการที่บ่งบอกว่าเรากำลังติดเกม และวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเกมมือถือกันค่ะ เพื่อให้เราสามารถเล่นเกมได้อย่างมีความสุขและมีสมดุลในชีวิตค่ะเอาล่ะค่ะ มาทำความเข้าใจในรายละเอียดกันให้ชัดเจนไปเลย!

1. สำรวจปัจจัยที่ทำให้เราติดเกมมือถือ: ทำไมถึงหยุดเล่นไม่ได้?

นเกมม - 이미지 1

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงเล่นเกมมือถือได้ทั้งวันทั้งคืนแบบไม่รู้สึกเบื่อ? จริงๆ แล้วมันมีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องนะ ไม่ว่าจะเป็น…

1. กลไกการให้รางวัลที่ไม่สิ้นสุด

เกมมือถือส่วนใหญ่มักจะมีระบบรางวัลที่ออกแบบมาอย่างดี เพื่อดึงดูดให้เราเล่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการทำภารกิจประจำวัน หรือรางวัลใหญ่ๆ ที่ได้จากการชนะในการแข่งขัน รางวัลเหล่านี้จะกระตุ้นให้สมองของเราหลั่งสารโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกดีและอยากเล่นต่อไปอีกเรื่อยๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เกมบางเกมยังมีระบบ “Loot Box” หรือ “กาชา” ที่ให้เราสุ่มของรางวัล ซึ่งมันเหมือนกับการพนันอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้อะไร แต่เราก็อยากลองเสี่ยงดู เผื่อว่าจะได้ของดีๆ ที่เราต้องการ ซึ่งมันยิ่งทำให้เราติดเกมมากขึ้นไปอีก

2. ความรู้สึกของการหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง

บางครั้งการเล่นเกมก็เป็นเหมือนการหลีกหนีจากปัญหาและความเครียดในชีวิตจริง เราอาจจะรู้สึกว่าชีวิตจริงมันน่าเบื่อ หรือมีเรื่องให้ต้องคิดมาก แต่ในโลกของเกม เราสามารถเป็นใครก็ได้ ทำอะไรก็ได้ที่เราต้องการ มันเป็นเหมือนโลกอีกใบที่เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้

ยิ่งไปกว่านั้น เกมบางเกมยังมีระบบสังคมออนไลน์ ที่ให้เราสามารถพูดคุยและเล่นกับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งมันช่วยลดความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวได้อีกด้วย

3. การแข่งขันและความต้องการที่จะเก่งขึ้น

เกมมือถือหลายเกมมีการแข่งขันที่เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกับผู้เล่นคนอื่น หรือการแข่งขันกับตัวเองเพื่อทำลายสถิติเดิม การแข่งขันเหล่านี้ทำให้เราอยากเก่งขึ้น อยากเอาชนะคนอื่น และอยากได้รับการยอมรับจากคนในเกม

ยิ่งไปกว่านั้น เกมบางเกมยังมีระบบ “Ranking” หรือ “Leaderboard” ที่แสดงอันดับของผู้เล่น ซึ่งมันยิ่งกระตุ้นให้เราอยากเล่นมากขึ้น เพื่อที่จะไต่อันดับขึ้นไปให้สูงที่สุด

2. สัญญาณเตือนภัย: คุณกำลังเข้าสู่ภาวะติดเกมมือถือหรือยัง?

การรู้ตัวว่าเรากำลังติดเกมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าเราไม่รู้ตัว เราก็จะไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง สัญญาณเตือนภัยที่เราควรสังเกตมีดังนี้ค่ะ…

1. หมกมุ่นอยู่กับเกมตลอดเวลา

ถ้าคุณเริ่มคิดถึงเกมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม หรือถ้าคุณรู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อไม่ได้เล่นเกม นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังติดเกมแล้ว

  • ตรวจสอบโทรศัพท์บ่อยๆ เพื่อดูว่ามีอะไรใหม่ในเกม
  • วางแผนการเล่นเกมในหัวตลอดเวลา
  • ฝันถึงเกม

2. เล่นเกมเป็นเวลานานขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าคุณเริ่มใช้เวลาในการเล่นเกมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว หรือถ้าคุณพยายามที่จะลดเวลาในการเล่นเกม แต่ก็ทำไม่ได้ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังติดเกมแล้ว

  • เริ่มเล่นเกมนานขึ้นกว่าที่ตั้งใจไว้
  • ละเลยกิจกรรมอื่นๆ ที่เคยทำ
  • โกหกคนอื่นเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการเล่นเกม

3. ละเลยหน้าที่และความรับผิดชอบ

ถ้าคุณเริ่มละเลยหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการดูแลตัวเอง นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังติดเกมแล้ว

  • ผลการเรียนตกต่ำ
  • ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  • ขาดเรียนหรือขาดงานบ่อยๆ
  • ไม่ดูแลตัวเอง (เช่น ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว)

3. กลยุทธ์เด็ด: วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเกมมือถือ

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังมีแนวโน้มที่จะติดเกม หรือเริ่มติดเกมไปแล้ว ก็อย่าเพิ่งตกใจ! เรามีวิธีรับมือและแก้ไขได้ เพียงแค่ต้องตั้งใจและมีวินัยในตัวเองค่ะ

1. กำหนดเวลาในการเล่นเกมอย่างชัดเจน

สิ่งแรกที่ควรทำคือการกำหนดเวลาในการเล่นเกมอย่างชัดเจน และพยายามทำตามแผนที่วางไว้ให้ได้ อาจจะเริ่มต้นจากการลดเวลาในการเล่นเกมลงทีละน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาให้กับกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

  1. ตั้งนาฬิกาจับเวลา
  2. ใช้แอปพลิเคชั่นช่วยจำกัดเวลา
  3. หาเพื่อนหรือคนในครอบครัวช่วยเตือน

2. หากิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจทำ

การหากิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจทำ จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเราจากเกมได้ อาจจะเป็นการออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ และครอบครัว

  • ลองหากิจกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ
  • หากิจกรรมที่ทำร่วมกับผู้อื่น
  • หากิจกรรมที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

3. สร้างสมดุลให้กับชีวิต

การสร้างสมดุลให้กับชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเกม เราควรให้ความสำคัญกับทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และการดูแลตัวเอง

  • จัดตารางเวลาให้สมดุล
  • ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต
  • พูดคุยกับคนที่เราไว้ใจเมื่อมีปัญหา

4. เทคนิคขั้นสูง: ปรับเปลี่ยน Mindset เพื่อพิชิตเกมได้อย่างชาญฉลาด

นอกจากวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น การปรับเปลี่ยน Mindset หรือกรอบความคิดของเรา ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเล่นเกมได้อย่างมีความสุขและไม่ติดเกมค่ะ

1. มองเกมเป็นเพียงเครื่องมือคลายเครียด

เราควรเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเกม จากที่เคยมองว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องเล่นให้ได้ ต้องเก่งให้ได้ มาเป็นการมองว่ามันเป็นเพียงเครื่องมือคลายเครียดอย่างหนึ่ง ที่เราสามารถใช้มันเพื่อผ่อนคลายความเครียดได้ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราเครียดจะต้องเล่นเกม

  • หากิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยคลายเครียดได้
  • ฝึกสติและอยู่กับปัจจุบัน
  • พูดคุยกับคนที่เราไว้ใจเมื่อเครียด

2. ตั้งเป้าหมายในการเล่นเกมที่ชัดเจน

การตั้งเป้าหมายในการเล่นเกมที่ชัดเจน จะช่วยให้เราเล่นเกมอย่างมีสติ และไม่หลงเข้าไปในโลกของเกมมากจนเกินไป เราควรถามตัวเองว่าเราเล่นเกมไปเพื่ออะไร และเราต้องการอะไรจากการเล่นเกม

  • ตั้งเป้าหมายที่ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound)
  • ติดตามความคืบหน้าของเป้าหมาย
  • ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำตามเป้าหมายได้

3. รู้จักตัวเองและยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง

การรู้จักตัวเองและยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่กดดันตัวเองมากจนเกินไป เราควรรู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และเราสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อที่เราจะได้เลือกเล่นเกมที่เหมาะสมกับตัวเอง และไม่เล่นเกมมากจนเกินกำลัง

  • สำรวจตัวเองว่าเราชอบเล่นเกมประเภทไหน
  • ยอมรับว่าเราไม่สามารถเก่งทุกเกมได้
  • ให้กำลังใจตัวเองเมื่อทำผิดพลาด

5. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลิกเกม: พลังของสังคมและการสนับสนุน

การมีสภาพแวดล้อมที่ดี จะช่วยสนับสนุนให้เราสามารถเลิกเกมได้ง่ายขึ้น ลองสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองกันค่ะ

1. ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง

การขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่เราไว้ใจ จะช่วยให้เรามีกำลังใจในการเลิกเกม และช่วยให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

  • บอกคนรอบข้างถึงความตั้งใจของเรา
  • ขอให้คนรอบข้างช่วยเตือนเมื่อเราเล่นเกมมากเกินไป
  • ขอให้คนรอบข้างชวนเราทำกิจกรรมอื่นๆ

2. เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน

การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน จะช่วยให้เราได้พบปะกับคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน และได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

  • ค้นหากลุ่มสนับสนุนออนไลน์หรือออฟไลน์
  • แบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกของเรา
  • รับฟังและให้กำลังใจผู้อื่น

3. สร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสิ่งรบกวน

การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสิ่งรบกวน จะช่วยให้เรามีสมาธิในการทำกิจกรรมอื่นๆ และไม่ถูกดึงดูดให้กลับไปเล่นเกม

  • ปิดการแจ้งเตือนจากเกม
  • ลบเกมออกจากโทรศัพท์
  • หลีกเลี่ยงสถานที่ที่กระตุ้นให้เราอยากเล่นเกม

6. กรณีศึกษา: แรงบันดาลใจจากผู้ที่เคยติดเกมและก้าวข้ามมาได้

การได้อ่านเรื่องราวของคนที่เคยติดเกมและสามารถก้าวข้ามมาได้ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและให้ความหวังแก่เราได้ ลองมาดูตัวอย่างเรื่องราวเหล่านี้กันค่ะ

1. เรื่องราวของ “น้องเอ”: จากเด็กติดเกมสู่ดาวเด่นด้านกีฬา

น้องเอเคยเป็นเด็กที่ติดเกมอย่างหนัก เล่นเกมทั้งวันทั้งคืน จนผลการเรียนตกต่ำและความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวแย่ลง แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมชมรมกีฬา น้องเอก็เริ่มค้นพบความสุขและความท้าทายใหม่ๆ และค่อยๆ ลดเวลาในการเล่นเกมลง จนในที่สุดก็สามารถเลิกเกมได้อย่างเด็ดขาด

2. เรื่องราวของ “พี่บี”: จากเกมเมอร์สู่ผู้ประกอบการ

พี่บีเคยเป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมเป็นอาชีพ แต่หลังจากที่เริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย พี่บีก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการนำความรู้และทักษะที่ได้จากการเล่นเกม มาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จและกลายเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

3. เรื่องราวของ “คุณซี”: จากผู้ป่วยซึมเศร้าสู่บล็อกเกอร์ชื่อดัง

คุณซีเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและใช้เกมเป็นเครื่องมือในการหลีกหนีจากความทุกข์ แต่หลังจากที่ได้เริ่มเขียนบล็อกและแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง คุณซีก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น และค่อยๆ ลดเวลาในการเล่นเกมลง จนในที่สุดก็สามารถก้าวข้ามผ่านโรคซึมเศร้าและกลายเป็นบล็อกเกอร์ชื่อดัง

7. สรุป: สร้างสมดุลชีวิต พิชิตเกมอย่างมีความสุข

การเล่นเกมมือถือไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราต้องรู้จักควบคุมตัวเองและเล่นอย่างมีสติ การสร้างสมดุลให้กับชีวิต การหากิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจทำ และการมีสภาพแวดล้อมที่ดี จะช่วยให้เราสามารถเล่นเกมได้อย่างมีความสุขและไม่ติดเกม ลองนำเทคนิคต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วคุณจะพบว่าชีวิตยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกมากมายรอคุณอยู่ค่ะ

อาการ พฤติกรรมที่สังเกตได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น
หมกมุ่นกับเกม คิดถึงเกมตลอดเวลา, กระวนกระวายใจเมื่อไม่ได้เล่น กำหนดเวลาเล่น, หากิจกรรมอื่นทำ
เล่นนานขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาเล่นเกมมากขึ้น, ละเลยกิจกรรมอื่น จำกัดเวลาเล่น, ใช้แอปช่วย
ละเลยหน้าที่ ผลการเรียน/งานแย่ลง, ขาดเรียน/งาน จัดตารางเวลา, ให้ความสำคัญกับงาน/เรียน
มีอาการถอน หงุดหงิด, กระวนกระวายเมื่อไม่ได้เล่น หากิจกรรมเบี่ยงเบนความสนใจ, ขอความช่วยเหลือ

บทสรุปส่งท้าย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาการติดเกมมือถือนะคะ อย่าลืมว่าชีวิตยังมีอะไรอีกมากมายให้ค้นพบและเรียนรู้ ลองเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ๆ และสร้างสมดุลให้กับชีวิตของเรา แล้วเราจะสามารถเล่นเกมได้อย่างมีความสุขและไม่เสียใจในภายหลังค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ!

ข้อมูลน่ารู้เพิ่มเติม

1. ปรึกษาจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: หากรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับปัญหาการติดเกมได้ด้วยตัวเอง การปรึกษาจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเกมอาจเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

2. เข้าร่วมกิจกรรมบำบัด: โรงพยาบาลหรือคลินิกหลายแห่งมีกิจกรรมบำบัดสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกเกม ซึ่งอาจช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำและกำลังใจจากผู้ที่มีประสบการณ์คล้ายกัน

3. ใช้แอปพลิเคชั่นช่วยจำกัดเวลา: มีแอปพลิเคชั่นมากมายที่สามารถช่วยคุณจำกัดเวลาในการเล่นเกมได้ ลองค้นหาและเลือกแอปที่เหมาะกับความต้องการของคุณ

4. หาเพื่อนหรือคนในครอบครัวช่วยเตือน: ขอให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวช่วยเตือนเมื่อคุณเล่นเกมมากเกินไป หรือช่วยชวนคุณทำกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5. ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุข ซึ่งอาจช่วยลดความอยากเล่นเกมได้

ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ

– การติดเกมมือถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และสามารถแก้ไขได้

– การรู้ตัวว่ากำลังติดเกมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ

– การกำหนดเวลาในการเล่นเกม และหากิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจทำ เป็นวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

– การปรับเปลี่ยน Mindset และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลิกเกม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเลิกเกมได้อย่างเด็ดขาด

– การขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง หรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน จะช่วยให้คุณมีกำลังใจในการเลิกเกม

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: ทำไมบางคนถึงติดเกมมือถือได้ง่ายกว่าคนอื่น?

ตอบ: หลายปัจจัยเลยค่ะที่ทำให้แต่ละคนมีแนวโน้มติดเกมต่างกัน อย่างแรกเลยคือเรื่องของบุคลิก บางคนเป็นคนขี้เบื่อ ชอบความท้าทาย หรือมีปัญหาในการเข้าสังคม ก็อาจจะหันไปพึ่งเกมเพื่อหาความสุขและความสำเร็จได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าเพื่อนๆ รอบตัวเล่นเกมกันหมด เราก็อาจจะรู้สึกอยากเล่นตาม หรือถ้าที่บ้านไม่ค่อยมีกิจกรรมให้ทำ เราก็อาจจะใช้เกมเป็นทางออกในการคลายเหงา สุดท้ายคือเรื่องของตัวเกมเอง เกมบางเกมถูกออกแบบมาให้เล่นแล้วติดหนึบ มีระบบรางวัลที่ล่อตาล่อใจ ทำให้เราอยากเล่นต่อไปเรื่อยๆ

ถาม: สังเกตยังไงว่าตัวเองเริ่มติดเกมมือถือแล้ว?

ตอบ: ลองสังเกตพฤติกรรมตัวเองดูค่ะ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าต้องเล่นเกมทุกวัน ขาดเกมไม่ได้ หรือใช้เวลาเล่นเกมนานขึ้นเรื่อยๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนแล้ว นอกจากนี้ ถ้าเริ่มละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่น การเรียน การทำงาน หรือการดูแลตัวเอง หรือเริ่มมีปัญหากับคนรอบข้างเพราะเรื่องเกม ก็ยิ่งชัดเจนว่าคุณกำลังติดเกมแล้วล่ะค่ะ อีกอย่างที่สำคัญคือ ลองถามตัวเองดูว่า คุณรู้สึกอย่างไรเวลาไม่ได้เล่นเกม ถ้าคุณรู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย หรือคิดถึงแต่เกมตลอดเวลา นั่นก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากๆ ค่ะ

ถาม: มีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้เลิกติดเกมมือถือได้?

ตอบ: การเลิกติดเกมมือถือต้องใช้ความตั้งใจจริงและความอดทนค่ะ เริ่มจากตั้งเป้าหมายก่อนเลยว่าจะลดเวลาเล่นเกมลงเท่าไหร่ แล้วค่อยๆ ทำตามเป้าหมายนั้น อาจจะเริ่มจากการกำหนดเวลาเล่นเกมในแต่ละวัน หรือหาอย่างอื่นทำในช่วงเวลาที่คุณเคยเล่นเกม เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือไปเที่ยวกับเพื่อน นอกจากนี้ การบอกให้คนรอบข้างรู้ว่าคุณกำลังพยายามเลิกติดเกม ก็จะช่วยให้พวกเขาสนับสนุนและให้กำลังใจคุณได้ค่ะ ที่สำคัญคืออย่าท้อแท้ ถ้าพลาดพลั้งไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง เริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ และถ้าลองทำเองแล้วไม่ได้ผล การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นทางเลือกที่ดีนะคะ

📚 อ้างอิง